ตั้งแต่ปี 1755
การแสวงหาความเป็นเลิศด้านการผลิตนาฬิกาเป็นการเดินทางของ Vacheron Constantin มาตั้งแต่ปี 1755 ดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์ของ Maison และค้นพบเรื่องราวและช่วงเวลาสำคัญๆ นับไม่ถ้วนที่หล่อหลอมมรดกที่สืบทอดมายาวนาน
หมุดหมายทางประวัติศาสตร์
ด้วยวิสัยทัศน์อันกล้าหาญและแน่วแน่ เหล่าผู้บุกเบิกเหล่านี้ได้วางรากฐานแห่งเรื่องราวที่ดำเนินต่อเนื่องโดยไม่เคยหยุดนิ่งจนถึงปัจจุบัน มรดกของพวกเขาถูกฝังอยู่ในหัวใจของแนวทางที่ Vacheron Constantin ยึดถือ และบุคลิกของพวกเขายังคงสะท้อนอยู่ในทุกมิติ—ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหาความเป็นเลิศ จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรม หรือจังหวะการเดินของกลไกแต่ละชิ้น ที่ถือกำเนิดจากโรงงาน




เหล่าช่างฝีมือแห่งความเป็นเลิศ

ในปี ค.ศ. 1755 ช่างนาฬิกาหนุ่มวัย 24 ปี ฌอง-มาร์ก วาเชอรอง (Jean-Marc Vacheron) ได้เซ็นสัญญารับศิษย์ฝึกงานคนแรกเข้าสู่เวิร์กช็อปของเขา ซึ่งแสดงถึงความตั้งใจในการส่งต่อทักษะความชำนาญ สัญญาฉบับนี้จึงถือได้ว่าเป็นดั่ง “สูติบัตร” แห่งเมซง และทำให้ Vacheron Constantin เป็นผู้ผลิตนาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกซึ่งยังคงดำเนินกิจการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อตั้ง
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2362 หุ้นส่วนระหว่างช่างทำนาฬิกาผู้เชี่ยวชาญและหลานชายของผู้ก่อตั้ง Jacques Barthélémi Vacheron (พ.ศ. 2330-2407) และนักธุรกิจผู้มากประสบการณ์ François Constantin (พ.ศ. 2331-2397) ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Maison Vacheron Constantin อีกครั้ง

ชายทั้งสองมีความสนใจร่วมกันในศาสตร์แห่งนาฬิกาซับซ้อนและเปี่ยมด้วยเทคนิค François Constantin นำพาสายตาทางธุรกิจอันแหลมคมเข้าสู่เมซง และได้เปิดตลาดใหม่ๆ มากมายตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่เดินทางแทนแบรนด์ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 1819 François Constantin เขียนจดหมายจาก Turin ถึงหุ้นส่วนของเขา Jacques Barthélémi Vacheron ในจดหมายนั้นมีประโยคสำคัญที่ต่อมากลายเป็นคำขวัญของเมซง: “ทำให้ดีขึ้นหากเป็นไปได้ และเราทำให้สิ่งนั้นเป็นไปได้เสมอ”

Vacheron Constantin ได้ว่าจ้างอัจฉริยะด้านวิศวกรรมการประดิษฐ์นาฬิกา Georges Auguste Leschot เพื่อพัฒนาเครื่องมือจักรกลสำหรับยกระดับคุณภาพในการผลิต หนึ่งในนวัตกรรมสำคัญของเขาคือ การปรับปรุงเครื่อง pantograph ให้สามารถใช้ในวงการนาฬิกาได้ในปี 1839 ทำให้สามารถผลิตชิ้นส่วนและองค์ประกอบของกลไกได้ในรูปแบบที่เป็นมาตรฐานและขยายขนาดได้ สิ่งนี้เปิดทางสู่การผลิตที่มีคุณภาพสม่ำเสมอในระดับอุตสาหกรรม และยังสามารถเปลี่ยนถ่ายชิ้นส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อุปกรณ์เครื่องนี้ได้รับรางวัล Prix de la Rive อันทรงเกียรติในปี 1844 จาก Arts Society สำหรับ “การค้นพบที่ล้ำค่าที่สุดต่ออุตสาหกรรมของเจนีวา”

ในปี ค.ศ. 1880 มอลทิส ครอสได้กลายมาเป็นตราสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการของเมซง แรงบันดาลใจในการเลือกสัญลักษณ์นี้มาจากชิ้นส่วนกลไกของนาฬิกาที่ติดตั้งบนฝาครอบลาน เพื่อควบคุมการคลายตัวของสปริงให้สม่ำเสมอที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และส่งผลต่อความแม่นยำในการเดินของนาฬิกา สัญลักษณ์ไม้กางเขนของมอลตาของ Vacheron Constantin ได้รับการจดทะเบียนกับสถาบันทรัพย์สินทางปัญญาของสวิสในเบิร์น
สถานที่อันเป็นสัญลักษณ์
1906 – บูติคแห่งแรกในย่านใจกลางเมืองเจนีวา
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 Vacheron Constantin ได้รับคำสั่งผลิตเรือนเวลาจากบุคคลสำคัญระดับราชวงศ์และชนชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย, พี่น้องตระกูลเจมส์—เฮนรีและวิลเลียม, และเจ้าชายนโปเลียน วิกเตอร์ หลานของเจอโรม โบนาปาร์ต เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 1906 เมซงได้เปิดบูติคแห่งแรกอย่างเป็นทางการ ณ ใจกลางเมืองเจนีวา เพื่อเป็นพื้นที่อันเหมาะสมสำหรับจัดแสดงเรือนเวลาหรูหรา

2004 - Vacheron Constantin ได้เข้าครอบครองโรงงานผลิตแห่งใหม่ใน Plan‑les-Ouates
Vacheron Constantin ได้เปิดตัวอาคารโรงงานแห่งใหม่ใน Plan-les-Ouates ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง Bernard Tschumi อาคารร่วมสมัยรูปมอลทิส ครอสครึ่งหนึ่งแห่งนี้รวมฝ่ายบริหาร การผลิต และเวิร์กช็อปไว้ภายใต้หลังคาเดียวกัน ไม่ถึงสิบปีถัดมา ในเดือนตุลาคม 2013 เมซงได้เปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่ใน Le Brassus ใจกลางหุบเขา Vallée de Joux

กลไกและคาลิเบอร์ชั้นเลิศ
กว่า 200 ปี Vacheron Constantin ได้สำรวจและท้าทายทุกมิติของศาสตร์นาฬิกา ตั้งแต่กลไกทูร์บิญง ไปจนถึงนาฬิกาดาราศาสตร์ จากเรือนเวลาที่ส่งเสียงตีระฆัง ไปจนถึงโครโนกราฟ ความชำนาญยังรวมไปถึงการผลิตคาลิเบอร์บางพิเศษ และศิลปะการเจาะโครงสร้างกลไกให้เห็นการทำงานแบบโอเพ่นเวิร์ก



การวัดเวลาอย่างแม่นยำ

นาฬิกาสำหรับวัดช่วงเวลาที่แม่นยำ ซึ่งแต่เดิมถูกใช้ในการสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากการใช้งานในด้านการบิน การทหาร และการแข่งขันกีฬา นับตั้งแต่ปี 1819 ที่เมซงได้เริ่มพัฒนากลไก deadbeat seconds ตามมาด้วยโครโนกราฟเรือนแรกที่จดทะเบียนในปี 1874 และโครโนกราฟรุ่น Cornes de Vache ที่เปิดตัวในปี 1955 ในปี 2015 นาฬิการุ่น Overseas Chronograph มาพร้อมกลไกผลิตภายในที่ได้รับตราประทับ Geneva Seal กลไกโครโนกราฟยังคงเป็นหนึ่งในกลไกยอดนิยมของ Vacheron Constantin จวบจนปัจจุบัน

ในศตวรรษที่ 19 การแข่งขันวัดความเที่ยงตรงของเวลา (chronometry) ได้เฟื่องฟูในหลายประเทศยุโรป ส่งผลให้ช่างนาฬิกาต่างมุ่งพัฒนาเรือนเวลาของตนเพื่อคว้ารางวัล Vacheron Constantin ได้เข้าร่วมการแข่งขันที่หอดูดาวเจนีวาตั้งแต่ช่วงต้น และสามารถคว้ารางวัลสำคัญหลายรายการซึ่งถือเป็นการเปิดฉากแห่งศตวรรษแห่งสถิติ ในปี 1907 เมซงเปิดตัว Chronomètre Royal ซึ่งเป็นเรือนเวลาที่มีความเที่ยงตรงและความน่าเชื่อถือในระดับสูง จนได้รับความนิยมในระดับนานาชาติ

ในปี 1932 Vacheron Constantin ได้ร่วมมือกับ Louis Cottier เพื่อสร้างนาฬิกา World Time เรือนแรกโดยใช้ระบบ “Cottier” ซึ่งได้รับการจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 1931 กลไกใหม่นี้ตอบรับกับโลกยุคใหม่ที่การสื่อสารและการคมนาคมกำลังเปลี่ยนแปลง Ref.
3372 มาพร้อมกลไกพิเศษที่แสดงเวลา 24 เขตเวลา ผ่านจานหมุนรอบหน้าปัดกลาง และขอบหน้าปัดภายนอกที่สลักชื่อ 31 เมืองสำคัญทั่วโลก
นวัตกรรมไม่หยุดนิ่งและความท้าทายทางเทคนิค
1943 – Ultra-Thin Minute Repeater 4261
Ref. 4261 คือหมุดหมายสำคัญของเรือนเวลาส่งเสียงบอกเวลาของเมซง ด้วยเรือนเวลานี้ในช่วงต้นยุค 1940s Vacheron Constantin ไม่เพียงแต่เอาชนะความท้าทายทางเทคนิคของ minute repeater เท่านั้น แต่ยังสร้างคาลิเบอร์บางพิเศษที่ทำลายสถิติ ด้วยความหนาเพียง 3.2 มม. บรรจุอยู่ในตัวเรือนที่บางเพียง 5.25 มม. และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 36 มม. ผลงานชิ้นนี้ถือเป็นหนึ่งในตำนานของเมซง และหายากอย่างยิ่ง


1955 – Ultra-Thin Calibre 1003
ในวาระครบรอบ 200 ปีของเมซง Vacheron Constantin ได้ตอกย้ำพันธกิจแห่งการสร้างสรรค์เรือนเวลาที่เปี่ยมด้วยความสง่างาม โดยเปิดตัวนาฬิกาข้อมือที่บางที่สุดในยุคนั้น ประกอบด้วยชิ้นส่วน 117 ชิ้น และขับเคลื่อนด้วยกลไกในตำนาน Calibre 1003 ขนาด 9" ซึ่งมีความหนาเพียง 1.64 มม. และยังคงเป็นหนึ่งในกลไกไขลานด้วยมือที่บางที่สุดในโลกมาจนถึงปัจจุบัน ในปี 2015 กลไก Calibre 1003 ได้รับการนำกลับมาผลิตใหม่ในเวอร์ชันทอง
1994 – กลไกโปร่งใสแบบ Skeletonised
ในสายตาของนักสะสมนาฬิกา การ skeletonisation หรือการเจาะโครงสร้างกลไก ถือเป็นหนึ่งใน “complication” ที่น่าทึ่งของศาสตร์การทำนาฬิกา เทคนิคนี้เกี่ยวข้องกับการคว้านชิ้นส่วนของกลไกให้โปร่งแสงเพื่อโชว์โครงสร้างภายใน โดยไม่กระทบต่อความเสถียรในการทำงาน ซึ่งต้องใช้ทักษะระดับสูงที่ช่างฝีมือเพียงหยิบมือเดียวในโลกสามารถเชี่ยวชาญได้ Vacheron Constantin คือหนึ่งในไม่กี่เมซงที่สามารถผลิตกลไก skeletonised ที่ซับซ้อนในระดับปฏิทินถาวร และกลไกบางพิเศษได้

เทคโนโลยีที่สอดรับกับดีไซน์
1996 – การแสดงเวลาแบบพิเศษ
นาฬิกาแบบ Jumping Hour ซึ่งปรากฏครั้งแรกในปี 1824 ถูกออกแบบมาเพื่อให้อ่านเวลาได้สะดวกยิ่งขึ้น ในปัจจุบัน ความซับซ้อนในการแสดงเวลานี้มักจับคู่กับกลไก retrograde minute ซึ่งเข็มนาทีจะกวาดเป็นเส้นโค้งจาก 0 ถึง 60 แล้วดีดกลับมาเริ่มใหม่ในลูปอย่างต่อเนื่อง รุ่น Saltarello ที่เปิดตัวในปี 1996 คือตัวอย่างอันโดดเด่นของแนวทางนี้ โดยรวมฟังก์ชันทั้งสองไว้ในเรือนเดียว และกลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ทางเทคนิคของ Vacheron Constantin


2005 – เสรีภาพทางศิลปะที่ไม่มีข้อจำกัด
กลไก Calibre 2460 G4 ซึ่งเปิดตัวในปี 2005 และยังคงใช้อย่างต่อเนื่อง มาพร้อมจานหมุน 4 แผ่นแยกกันแสดงเวลา ชั่วโมง นาที วัน และวันที่ ช่องหน้าต่างที่วางตำแหน่งอย่างสมมาตรรอบขอบหน้าปัดทำให้เว้นพื้นที่ตรงกลางไว้อย่างกว้างขวางสำหรับงานศิลป์ของช่างฝีมือ เนื่องจากไม่มีเข็มหรือตัวเลขมาบดบัง จึงเหมาะอย่างยิ่งกับการรังสรรค์เรือนเวลาในคอลเลคชั่น Métiers d’Art


นาฬิกาชั้นเยี่ยม
มรดกของ Vacheron Constantin ถูกหล่อหลอมขึ้นจากเรือนเวลาที่โดดเด่นแต่ละเรือน ซึ่งหลอมรวมงานศิลป์และนวัตกรรมทางกลไกเข้าไว้ด้วยกันอย่างไร้ที่ติ และเป็นรากฐานของตำนานที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 1755
1755 – นาฬิกาพกเรือนแรกที่รู้จัก ซึ่งสร้างโดย Jean-Marc Vacheron
ความภาคภูมิใจในมรดกของ Vacheron Constantin คือนาฬิกาสีเงินเรือนนี้ที่ลงนาม J. M: Vacheron à Geneve บนกลไก และเป็นนาฬิกาเพียงเรือนเดียวที่ระบุชื่อผู้ก่อตั้งเมซงตามชื่อจริงของเขา นาฬิกาเรือนนี้ได้รับการติดตั้งกลไก Verge ซึ่งมาพร้อมกับเข็มนาฬิการังสรรค์ขึ้นด้วยทองคำ สะพานจักร Balance-Cock เป็นส่วนของกลไกที่มองเห็นได้ชัดที่สุดทั้งยังแสดงให้เห็นถึงฝีมือระดับสูงในลวดลายอาหรับที่ละเอียดอ่อน มาตรฐานทางเทคนิคและความงามอันทวีคูณนี้ได้ค่อยๆ หล่อหลอมเอกลักษณ์ของเมซงขึ้นมา


1824 – การแสวงหาความเป็นเลิศทางศิลปะอย่างไม่สิ้นสุด
มรดกของ Vacheron Constantin แสดงให้เห็นถึงการผสานกันอย่างต่อเนื่องของความคิดสร้างสรรค์ทั้งในเชิงเทคนิคและความงาม แรงบันดาลใจจากโลกใบนี้ได้หล่อเลี้ยงเมซงมาโดยตลอด
ทั้งยังสะท้อนความผูกพันลึกซึ้งต่อศิลปะและวัฒนธรรม ผ่านความร่วมมือและพันธมิตรนานาชาติ ในฐานะตัวแทนของ La Belle Haute Horlogerie เมซงได้รังสรรค์เรือนเวลาที่เป็นทั้งนวัตกรรมและงานศิลป์ในคราวเดียว ด้วยความหลงใหลและความชำนาญอันลึกซึ้ง ช่างนาฬิกาผู้เชี่ยวชาญและช่างฝีมือระดับมาสเตอร์ของเมซงสามารถปลุกอารมณ์ ถ่ายทอดเรื่องราว และแบ่งปันวิสัยทัศน์ทางศิลป์ผ่านเรือนเวลาแต่ละเรือน
1889 - หนึ่งในนาฬิกาข้อมือสุภาพสตรีรุ่นแรก
แม้ผู้หญิงจะให้ความสนใจกับศาสตร์แห่งการประดิษฐ์นาฬิกาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม แต่มักเป็นไปเพื่อเติมเต็มการแต่งกายด้วยนาฬิกาที่ออกแบบในลักษณะอัญมณี นาฬิกาข้อมือสุภาพสตรีรุ่นนี้จากปี 1889 นับเป็นหนึ่งในนาฬิกาข้อมือรุ่นแรกที่ผลิตในจำนวนมาก การมาถึงของมันสร้างความฮือฮาไม่น้อย แม้ในขณะนั้นนาฬิกาพกยังคงครองความนิยมอย่างไร้คู่แข่งไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 20
แบรนด์ยังคงให้ความสำคัญกับเรือนเวลาสำหรับผู้หญิงในฐานะพื้นที่แห่งการแสดงออก โดยคงไว้ซึ่งความท้าทายในการผสานความงามเหนือกาลเวลาเข้ากับกระแสแฟชั่น เพื่อสอดรับกับบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้หญิงอยู่เสมอ

1918 – พลังแห่งเทคนิคชั้นสูง
Vacheron Constantin คือผู้ผลิตนาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกซึ่งดำเนินกิจการอย่างต่อเนื่องไม่เคยหยุด เป็นความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมากว่า 270 ปี ภายใต้รูปโฉมที่ดูเรียบง่ายของเรือนเวลากลับซ่อนกลไกอันซับซ้อนอย่างน่าทึ่ง เมซงนำเสนอฟังก์ชันระดับสูงมากมาย ทั้งนาฬิกาส่งเสียงบอกเวลา กลไกทูร์บิญง การแสดงเวลาพิเศษ ไปจนถึงกลไกดาราศาสตร์
ชื่อเสียงของเมซงก่อตัวขึ้นจากการผสานอย่างลงตัวระหว่างประเพณีเหนือกาลเวลากับนวัตกรรมล้ำยุค โดยหลอมรวมศาสตร์แห่งการประดิษฐ์นาฬิกากับงานออกแบบอันวิจิตร เพื่อเปลี่ยนเรือนเวลาแต่ละเรือนให้กลายเป็นผลงานศิลปะระดับมาสเตอร์พีซ

1979 – Kallista ผลงานชั้นเลิศแห่งความวิจิตรศิลป์
รังสรรค์จากทองคำแท่งหนักหนึ่งกิโลกรัม และประดับเพชร 118 เม็ด รวมกว่า 130 กะรัต เรือนเวลา “Kallista” (ซึ่งมีรากศัพท์จากภาษากรีก แปลว่า “สง่างามที่สุด”) ถือเป็นหนึ่งในผลงานการประดิษฐ์นาฬิกาที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดตลอดกาล ต้องใช้เวลากว่าสิบสองเดือนในการคัดสรรและจับคู่เพชรเจียระไนทรงเหลี่ยมมรกตให้เข้ากัน และต้องใช้แรงงานมากกว่า 6,000 ชั่วโมงในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกนี้ให้เสร็จสมบูรณ์
หนึ่งปีถัดมา แบรนด์ได้เปิดตัวนาฬิการุ่น “Kalla” อันเป็นที่จดจำ ซึ่งได้เป็นแรงบันดาลใจสู่ “Grand Lady Kalla” ในปี 2024


2020 – แรงบันดาลใจแห่งเรือนเวลาโฉมใหม่
ในปี 2020 Vacheron Constantin เปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่สำหรับสุภาพสตรี โดยเป็นการบรรจบกันของสองโลก:
Haute Horlogerie และ Haute Couture ถ่ายทอดผ่านมุมมองของงานฝีมือ ความแม่นยำ ความเป็นเลิศ และความงาม
คอลเลคชั่นนี้มีความคลาสสิก แฝงไว้ด้วยความซุกซน สะท้อนภาพผู้หญิงยุคใหม่ที่เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ เป็นอิสระ และมีเสน่ห์เฉพาะตัว
ในปี 2024 คอลเลคชั่นนี้กลับมาอีกครั้งด้วยความร่วมมือสุดสร้างสรรค์ระหว่าง Vacheron Constantin และ Yiqing Yin หนึ่งในศิลปินจากโครงการ “One of Not Many”
สถิติโลก






ด้วยกลไกที่ซับซ้อน 41 ฟังก์ชัน ฟังก์ชันทางดาราศาสตร์ที่หายาก 5 อย่าง และตัวทวนนาที Westminster ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ นาฬิกาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้ที่มีส่วนประกอบ 1,521 ชิ้นเป็นมงกุฎแห่งการวิจัยและพัฒนาเป็นเวลาแปดปี รวมถึงการยื่นขอจดสิทธิบัตร 13 รายการ
นาฬิกาเรือนนี้อยู่ในสถานที่พิเศษในด้านนาฬิกาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาวะแทรกซ้อนทางดาราศาสตร์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ห้าประการ โดยสี่แห่งเกี่ยวข้องกับวิถีของดวงอาทิตย์ที่พาดผ่านท้องฟ้า ด้วยกลไกที่เป็นนวัตกรรมใหม่ จอแสดงผลจะแสดงตำแหน่งของดวงอาทิตย์ตามเวลาจริง ความสูง เวลาถึงจุดสุดยอด และมุมเอียง ซึ่งเป็นความสำเร็จทางดาราศาสตร์สำหรับนาฬิกาข้อมือแบบกลไก

Vacheron Constantin ขอเสนอนาฬิกาที่มีความซับซ้อนที่สุดในโลก ด้วยจำนวนฟังก์ชันกลไกถึง 63 รายการและชิ้นส่วนทั้งหมด 2,877 ชิ้น เรือนเวลานี้ทำลายสถิติเดิมของแบรนด์ที่เคยสร้างไว้ในปี 2015 กับ Reference 57260 กลั่นจากกระบวนการพัฒนายาวนานถึง 11 ปี ผลงานชิ้นเอกนี้โดดเด่นด้วยปปฏิทินถาวรแบบจีนแท้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ด้วยความซับซ้อนของปฏิทินจันทรสุริยคติที่มีรอบเวลาไม่สม่ำเสมอ การออกแบบกลไก Calibre 3752 ภายในเรือนนาฬิกานี้ให้ทำงานได้จนถึงปี 2200 จึงนับเป็นผลงานอัจฉริยะด้านวิศวกรรมนาฬิกาอย่างแท้จริง

เมื่อสวมใส่ นาฬิการุ่น Traditionnelle Twin Beat Perpetual Calendar นี้จะสร้างสรรค์จังหวะความถี่สูงที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์แบบแอคทีฟสมัยใหม่ ซึ่งแสดงชั่วโมง นาที วันที่ เดือน รอบปีอธิกสุรทิน และพลังงานสำรองบนหน้าปัด อย่างไรก็ตาม กลไก Calibre 3160 QP ที่พัฒนาขึ้นเฉพาะรุ่นนี้ มาพร้อมกับระบบการเลือกใช้งานสองโหมด ด้วยออสซิลเลเตอร์ที่เดินที่ความถี่ 5Hz (โหมดทำงาน) และ 1.2Hz (โหมดพัก) ทำให้สามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 65 วัน โดยยังคงขนาดเทียบเท่ากับนาฬิการะบบปฏิทินถาวรทั่วไป

Celestia Astronomical Grand Complication 3600 เรือนหน้าปัดคู่ ผสานความรู้ทางดาราศาสตร์เข้ากับศิลปะแห่งเรือนเวลา ด้วยองค์ประกอบไวท์โกลด์ที่สง่างาม บรรจุฟังก์ชันกลไกทำลายสถิติถึง 23 รายการ บนหน้าปัดทั้งสองด้าน โดยสามารถอ่านเวลาได้ 3 ระบบ – เวลาสากล เวลาสุริยะ และเวลานักษัตร – ซึ่งแต่ละระบบมีกลไกขับเคลื่อนเฉพาะตัว แสดงถึงความซับซ้อนทางเทคนิคอย่างสูง กลไกแบบบูรณาการทั้งหมด 514 ชิ้น บรรจุในตัวเรือนที่มีความหนาเพียง 8.7 มม. พร้อมลานสำรองจากถังลาน 6 ชุด ที่ให้พลังงานต่อเนื่องยาวนานถึง 3 สัปดาห์

ผลงานชิ้นเอกเรือนนี้นำเสนอโดย Vacheron Constantin เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 250 ปีของเมซง สมบูรณ์แบบในทุกมิติ Tour de l’Île คือเรือนเวลาข้อมือสองด้านที่ซับซ้อนที่สุดที่เคยผลิตแบบเป็นชุด ด้วยการรวมกลไกระดับแกรนด์คอมพลิเคชันถึง 16 รายการ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน นาฬิการุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นเพียง 7 เรือนเท่านั้น ซึ่งต่อมาได้ชนะรางวัล Grand Prix de l'Aiguille d'or ที่ Grand Prix d'Horlogerie de Genève